คุณต้องล้มเพื่อลุกขึ้น อีกครั้ง (ความจริงจากค่ำคืนที่อิสตันบูล)
ถ้าจะให้บอกว่าทีมที่ทำผลงานออกสตาร์ทฤดูกาลได้ร้อนแรงทีมหนึ่งคงพูดได้เต็มปากว่า เอฟเวอร์ตัน คือหนึ่งในนั้น ซึ่งบางคนมองว่าเป็นอะไรที่ เซอร์ไพรส์ แต่ถ้าเราดูในรายละเอียด จะเห็นว่ามันสมควรและไม่ได้เกินจากความคาดหมายไปเท่าไหร่
เพราะภายใต้ผู้จัดการทีมระดับบรมครูของวงการ อย่าง คาร์โล อันเชลอตติ ที่จัดหนักเสริมทัพได้ชนิดที่ว่าทีมอื่นๆ ต้องมีอิจฉา โดยที่สามารถเซ็นสัญญากับนักเตะระดับ A list อย่าง ฮาเมส โรดริเกซ มาในราคาแค่ 20 ล้านปอนด์ อีกทั้งยังดึงเด็กเก่าจากนาโปลี
อย่าง อัลลัน เข้ามาเสริมทัพได้อีกคน
ไหนจะกระชาก อับดูลาย ดูคูเร่ กับ เบน ก็อดฟรีย์ ที่มีประสบการณ์ในระดับ พรีเมียร์ลีคมาแล้วด้วย และด้วยการผสมผสานนักเตะชุดเดิมที่มีอยู่แล้วได้อย่างลงตัว ผลงานก็สุดปังอย่างที่เห็นนำจ่าฝูงมาในขณะนี้ คาร์โล อันเชลอตตี น่าจะเป็นผู้ที่จะปลุกเอฟเวอร์ตัน ให้กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้งเป็นแน่
เหนือสิ่งอีกใดคือ การที่มีกุนซือระดับนี้น่าจะพาทีมไปเทียบบารมีของคู่ปรับร่วมเมืองอย่างลิเวอร์พูลได้อีกครั้ง ทำให้ เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้ ครั้งนี้ เป็นอะไรที่น่าดูเอามากๆ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ไม่ใช่สิ่งเราจะมาบอกเล่ากันในวันนี้ แต่จะมาเล่าอีกด้าน ว่ากว่าที่จะมาถึงตรงนี้ได้ ตัว คาร์โล อันเชลอตตี เองก็ต้องผ่านบททดสอบ บทเรียนมาแล้วหลายต่อหลายครั้งกว่าจะมีจุดนี้ได้
วันนี้เลยอยากจะหยิบซักเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟัง เรื่องที่หลายคนคงจำได้สำหรับค่ำคืนที่อิสตันบูล ช่วงที่เขายังทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม เอซี มิลาน
วันที่ 25 พฤษภาคม 2005 เป็นนัดชิงชนะเลิศฟุตบอล ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ที่ เอซี มิลาน โคจรมาพบกับยอดทีมจากเกาะอังกฤษอย่าง ลิเวอร์พูล ซึ่งเกมส์ในวันนั้นหลังจบครึ่งแรกไป มันเป็นครึ่งเวลาที่มีความสุขมากทั้งทีมงาน ผู้เล่น และ แฟนๆ ของเอซี มิลาน
เพราะสามารถออกนำไปก่อนถึง 3-0 ใน 45 นาทีแรกนั้นทีมของเขาเล่นได้ดีอย่างไร้ที่ติ ประตูแรกมาจากกองหลังกัปตันทีม เปาโล มัลดินี่ และอีก 2 ประตูจากศูนย์หน้า เฮอนัน เกรสโป ซึ่งอีกแค่ 45 ในครึ่งหลังถ้าสามารถเล่นได้ตามมาตราฐานเดิมก็จะกลายเป็นแชมป์ไปอย่างสวยงาม
บรรยกาศภายในห้องแต่งตัวในเวลานั้นเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี ปรบมือสนุกสนาน บางคนบอกว่าพวกเราจะเอาถ้วยกลับมิลาน บางคนคนถึงการเฉลิมฉลองทานอาหารเย็นกับครอบครัว บางคนบอกว่า “เรากำลังจะชนะ ๆ ” เต็มไปด้วยพลังบวก ในขณะเดียวกันข้างนอก
บนอัฒจันทร์แฟนๆ ปีศาจแดงดำ เองก็ได้มีการเริ่มฉลองกันแล้ว
ท่ามกลางบรรยกาศอันครึกครื้น ตัว คาร์โล อันเชลอตตี เองก็ปล่อยให้ลูกทีมแสดงออกมาให้เต็มที่เป็นเวลา 2 -3 นาที หลังจากนั้นเขาก็ได้บอกให้พวกเขาใจเย็นๆ
” ทุกครั้งที่คุณเล่นกับทีมจากเกาะอังกฤษการแข่งขันจะไม่มีวันจบลงจริงๆ พวกนายจะต้องทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลับมาได้ในช่วงครึ่งหลัง เราจะทำแบบนั้นไม่ได้ มาจัดการการควบคุมบอลและการควบคุมเกมของเรากันเถอะ ไป! ไป มิลาน! ” นั่นคือคำพูดของผม ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ อันเชลอตติ กล่าว
ในวันนั้นลิเวอร์พูลได้เริ่มต้นเกมส์ด้วยกองหน้าตัวเดียวอย่าง บารอส ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงคาดหวังว่าครึ่งหลังพวกเขาน่าจะส่ง ซิสเซ่ ลงสนาม แต่มันไม่ได้เกิดขึ้น กลยุทธ์แปลก ๆ ที่ ราฟาเอล เบนิเตซ นำมาใช้ ซึ่งมองไปแล้วในความเป็นจริงทุกอย่างดูดีสำหรับเราเมื่อเกมกลับมาเล่นต่อ เราเกือบจะมีโอกาศนำ 4-0 แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น
หลังจากนั้น สิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นเหมือนทุกสิ่งในสนามหยุดนิ่งไป สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นไปได้ ( ” เป็นไปไม่ได้ มันคืออะไร ” เป็นสโลแกนที่ผมเกลียดมาตลอด เพราะวันนั้นมันดูน่าเกลียดสำหรับเรามาก ๆ ) มันคือฝันร้ายที่สุดสำหรับเรา
โลกกลับตาลปัตร เหมือนนาฬิกาเริ่มหมุนไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง แฟนๆ ของเราตอนนั้นกำลังสับสน เหมือนเรากำลังเข้าสู่โลกแห่งความฝัน สกอร์ 3-1 , 3-2 , 3-3 ผมไม่อยากจะเชื่อเลย สิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ผมนิ่งเหมือนเป็นอัมพาตและไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบสนอง
ผมงงงัน ไม่มีอะไรสมเหตุสมผล ใครจะรักษาความรู้สึกของพวกเขาได้ ? ในเวลาเพียง 360 วินาทีโชคชะตาได้เปลี่ยนทิศทางของการแข่งขันโดยหมุนไป 180 องศา เหมือนเราเมาหมัด มันเข้ามาเร็วเกินไป ไม่มีโอกาสที่จะตั้งตัว ไม่สามารถย้อนกลับได้ เหลือเชื่อ แต่เป็นเรื่องจริง
ผู้คนมักจะถามผมว่าคิดอย่างไร ในช่วงที่ลิเวอร์พูลฟื้นตัวกลับมาได้ คำตอบนั้นง่ายมากคือ ไม่มีอะไรจะตอบ สมองของผมเหมือนเป็นสุญญากาศ ผมพยายามอย่างเต็มที่เให้เรากลับมามีสมาธิ เราเข้าสู่ช่วงต่อเวลาและในที่สุดก็เริ่มเล่นเหมือนทีมที่เราเป็น
เราเป็นทีมที่ยังทำได้และต้องเอาชนะลิเวอร์พูลให้ได้ ถึงอย่างนั้นลึก ๆ ผมก็ยังหวังว่าเราจะทำได้ จนถึงนาทีสุดท้ายเมื่อ ดูเด็ค เซฟลูกโหม่งและลูกซ้ำ เชฟเชนโก ได้อย่างมหัศจรรย์
ในจังหวะนั้นหลังจากโหม่งแล้วนายประตูเซฟไว้ได้ในจังหวะแรกและ อันเดร กำลังวิ่งเข้าไปยิงซ้ำ และเราก็กำลังจะวิ่งไปฉลอง แต่ ดูเด็ค สามารถผวารีบลุกขึ้นเซฟอีกครั้งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเห็นอะไรบางอย่างในหัวของผมคิดหนัก ” สิ่งนี้เริ่มดูไม่ดี เลย “
ท้ายที่สุดในเกมส์นี้ก็ยืดเยื้อ จนเข้าสู่การดวลจุดโทษตัดสิน ผมมองไปที่ผู้เล่นของผมและผมเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาคิดมากไปหมด และก่อนที่จะเตะจุดโทษนั้น ผมเองก็คิดมากไม่แพ้กัน ณ จุดนั้นผมมั่นใจในนักเตะที่จะรับหน้าที่ยิงจุดโทษของเรา
ถึงแม้จะแตกต่างจากที่เคยเกิดขึ้นที่ แมนเชสเตอร์ ในเกมส์กับยูเวนตุส สำหรับเกมส์นี้ คนที่รับหน้าที่ของเรามี เซอร์จินโญ่, ปิร์โล, โทมัสสัน, กาก้าและเชฟเชนโก
เมื่อผมเห็น ดูเด็คเต้นก่อนยิงลูกโทษแต่ละครั้งเพื่อพยายามทำลายสมาธิ ทำให้ผมนึกถึงนัดชิงชนะเลิศที่โรม่าแพ้ลิเวอร์พูลในการดวลจุดโทษ ในเกมส์นั้น บรูซ โครบเบอลาร์ ซึ่งอยู่บนเส้นประตูและได้ทำการเลียนแบบนักเต้นระบำหน้าท้องที่น่าเชื่อถือ ไม่มีใครทำได้ดีไปกว่าเขา และมันกำลังเกิดขึ้นกับ ดูเด็คอีกคน
ผมไม่เคยดูการแข่งขันนั้นอีกเลยและจะไม่มีวัน ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่เป็นเพราะมันไม่มีประเด็นอะไรที่ต้องดู ผมรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องดูมันอีกแล้ว ตอนนี้ผมคิดว่าค่ำคืนที่อิสตันบูลเป็นการสูญเสียเหมือนที่อื่นๆ อาการซึมเศร้าของผมเพิ่มขึ้น ในบรรดาผู้เล่นทุกคนเครสโป น่าจะเป็นคนที่รับมือได้ยากที่สุด
เขาไม่เคยคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพมาก่อนและเย็นวันนั้นในตุรกีเขาคิดว่าเวลาของเขามาถึงแล้ว – ความรู้สึกที่เพิ่มขึ้นในระหว่างเกมหลังจากที่เขายิงได้ ไม่ใช่แค่ประตูเดียว แต่สองประตู สำหรับความพยายามและของขวัญของเขา
เขาสมควรที่จะได้กลับบ้านพร้อมกับถ้วยแชมป์ แม้กระทั่งวันนี้เขายังมีชีวิตอยู่ด้วยความเสียใจที่ไม่สามารถคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกได้ เขาสมควรได้รับมันมากกว่าคนอื่น ๆ ทั้งหมด
เครสโปได้เริ่มฤดูกาลนั้น ในฐานะตัวประกอบธรรมดาและเขาก็จบลงด้วยการเป็นฮีโร่ เขาดีขึ้นอย่างมากและเครดิตทั้งหมดเป็นเพราะเขา ตอนที่เราซื้อตัวเขามาจากเชลซีในช่วงซัมเมอร์เขาเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ไม่สุภาพ เชื่องช้า หดหู่ เขาไม่ได้ดูเหมือนนักฟุตบอลอีกต่อไป ( ผมยังไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกับเขา ) เขาทำประตูไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ประตูแรกของเขาต้องรอถึงเดือนพฤศจิกายนในเกมถ้วยอิตาลี เขาทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อฟื้นตัวและในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ กลับมาเป็นเครสโปคนเก่าอีกครั้ง คนที่ผมรู้จักตั้งแต่สมัยอยู่ที่ปาร์ม่า
จากนั้นเราก็ได้ข้อสรุปร่วมกัน ว่าเราจะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่เราจะกลับมาให้ได้ อันดับแรกเราต้องรวบรวมชิ้นส่วนที่แตกสลายทั้งหมดของเรา และทีมของเราและประกอบกลับเข้าด้วยกันใหม่ มันเป็นปริศนาที่ซับซ้อนที่สุดที่ผมเคยเผชิญ
ในช่วงนั้นเองที่ผมกลับไปหาวิทยานิพนธ์ที่ผมขียนตอนเรียนปริญญาโทที่ Coverciano เพื่อเป็นโค้ชฟุตบอลที่ได้รับการรับรองอย่างสมบูรณ์ ผมพลิกหน้าไปที่บทเกี่ยวกับจิตวิทยา :
…ผลอย่างหนึ่งของฟอร์มของทีมที่เสียไป คือผู้เล่นเริ่มรู้สึกถึงความกระตือรือร้นที่ลดลงโดยมีความเสี่ยง ที่จะถูกถามถึงประสิทธิภาพของงานที่ เขาถูกขอให้ทำ แน่นอนว่า โค้ช มีส่วนอย่างมาก รวมถึงการสนับสนุนของสโมสร
– ต้องมีศรัทธาใน ความคิดของเขาต้องไม่หวั่นไหวต้องยังคงมั่นใจใน
ความเชื่อมั่นของเขาแต่เหนือสิ่งอื่นใดต้องตระหนักว่า ทำตามการเลือกและการตัดสินใจของเขา ถ้าคุณแน่ใจว่าเขาเชื่อใจคุณแล้ว มันเป็นเวลาของคุณในการที่จะทำมันให้เต็มที่
…คุณต้องระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความวิตกกังวลในการที่จะได้มาซึ่งผลลัพธ์ สิ่งนี้เป็นอันตรายและไม่มีผลดีเลยหากคุณต้องการได้รับประสิทธิภาพระดับสูง ทีมต้องสามารถเอาชนะความยากลำบากไปให้ได้ ซึ่งจะทำให้ทีมมีความเหนียวแน่นและมีพลังมากขึ้น
ในเวลานั้นโค้ชรู้ดีว่าเขาสามารถไว้วางใจผู้เล่นที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีแรงจูงใจสูงและมุ่งมั่น เมื่อคุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ งานจะไม่น่าเบื่อ และได้ผลลัพธ์ที่มีความแน่นอนมากขึ้น
ผมอาจจะเป็นนักเขียนที่ไม่ดี แต่เห็นได้ชัดว่า หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือที่ดีสำหรับวิกฤตของทีม และเป็นสิ่งที่ชัดเจนสำหรับผมเสมอ
“โศกนาฏกรรม ต่างๆ สามารถเป็นแรงกระตุ้น และสร้างประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเสมอ ไม่ว่าคุณหลุดพ้นออกมา แล้วพายเรือไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ก็ตาม “
กระบวนการฟื้นฟูจิตใจเป็นกระบวนการที่ยาวนานบางทีอาจจะนานเกินไป เราต้องใช้เวลาตลอดทั้งฤดูกาล 2005–06 เพื่อทำมันให้เสร็จสมบูรณ์ เราไม่ชนะอะไรเลยในปีนั้น
– สถานการณ์ที่ผิดปกติสำหรับทีมของเราและเป็นสิ่งที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน
สโมสรอย่าง เอซี มิลาน ได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากต่อเนื่อง และกำลังมีปัญหาใหม่เข้ามาซึ่งครั้งนี้หนักหนากว่าอิสตันบูลมาก ผมอาจจะบ้า แต่ผมคิดว่าความพ่ายแพ้ที่อิสตันบูลไม่ได้ส่งผลกระทบด้านลบเพียงอย่างเดียว มันมีเหตุผลและคุณค่าของมัน เราเอง (มิลาน) พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้น เราทั้งหมดพร้อมที่จะก้าวไปด้วยกัน จะเกิดอะไรขึ้นต่อ กับทีมมิลาน ที่ต้องกลับมาลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม
References : หนังสือ Carlo Ancelotti The Beautiful Games of an Ordinary Genius
เขียนและเรียบเรียงโดย : มินวัง
ติดตาม ShirtLocker.co เสื้อบอลคลาสสิค ผ้าพันคอ เข็มกลัด ลายเซ็นต์นักบอล หายากมากมาย
แค่เพิ่มเพื่อนไลน์แอด ให้คุณได้รู้ข่าวก่อนใคร มีรางวัลแจกทุกวัน กดที่ลิงค์นี้ครับ
Line :https://line.me/R/ti/p/@shirtlocker.co
Facebook :facebook.com/shirtlocker.co
Website :www.shirtlocker.co
Blockdit :blockdit.com/shirtlocker.co
Twitter :twitter.com/ShirtlockerCo
Instragram :instragram.com/shirtlocker.co