บทสรุปปีศาจแดงยุโรป (Red Devil)
ขุนพลนักเตะทีมชาติเบลเยี่ยม ถึงแม้ว่าจะพ่ายให้กับทีมชาติฝรั่งเศษในรอบรองชนะเลิศ แต่ก็ยังไว้ลายด้วยการสามารถคว้าอันดับ 3 ของฟุตบอลโลกหนนี้ ด้วยการเอาชนะทีมชาติอังกฤษ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับชาติ ด้วยการคว้าอันดับที่ดีที่สุดจากการเข้าร่วมการเเข่งขันฟุตบอลโลกทั้งหมด 13 สมัย
ทีมชาติเบลเยี่ยม ภายใต้การนำทีมของ โรแบร์โต้ มาติเนซ เทรนเนอร์ชาวสเปน ต้องบอกว่าเป็นการยกระดับฟุตบอลของเบลเยี่ยมขึ้นมาให้อยู่ในระดับแถวหน้าของโลกได้อย่างที่ไม่มีใครปฏิเสธได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวผู้เล่นในยุคนี้เองก็เป็นยุคที่ต้องเรียกว่ายุคทองของฟุตบอลเบลเยี่ยม ด้วยการที่อุดมไปด้วยผู้เล่นที่เป็นระดับโลกทั้งนั้นตั้งแต่ ประตู ยันกองหน้า หรือสำรองเลยก็ว่าได้ อาทิเช่น ตีโบ กูร์ตัว, แว็งซ้อง กอมปานี, เอแดน อาซาร์, เควิน เดอ บรุย, โรเมลู ลูกากู เป็นต้น
สำหรับฟุตบอลโลกหนนี้ เบลเยี่ยม สามารถทำผลงานได้ดีมาโดยตลอดนับตั้งแต่รอบคัดเลือกที่สามารถผ่านเข้ามาได้ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม แข่ง 10 นัด ชนะ 9 เสมอ 1 ไม่แพ้ใคร ยิงได้ 43 ประตู เสียแค่ 6 ประตู เก็บไปได้ถึง 28 คะแนน ทะลุเข้ารอบสุดท้าย และจับฉลากได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับ อังกฤษ ตูนิเซีย และ ปานามา ซึ่งก็เป็นไปตามที่หลายๆ ฝ่ายคาดไว้ว่าเป็นการแย่งแชมป์กลุ่มกับอังกฤษ และก็เป็นเบลเยี่ยมที่สามารถเบียดชนะอังกฤษได้ในนัดตัดสินแชมป์กลุ่มในนัดสุดท้ายของรอบแรก แต่คิดกลับกัน การที่เข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่มกลับต้องไปอยู่ในสายบน ที่ประกอบไปด้วย อุรุกวัย, โปรตุเกส, ฝรั่งเศษ, อาร์เจนตินา, บราซิล, เม็กซิโก ซึ่งเป็นทีมเต็งเกือบทั้งนั้นซึ่งเส้นทางข้างหน้ายากแน่นอน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้าไปเจอกับ ญี่ปุ่นในรอบ 16 ทีมก่อนก็ตาม
แต่วันแข่งจริงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะรอบที่ 2 หรือรอบ 16 ทีมที่ได้ประกบคู่กับทีมชาติญี่ปุ่นที่ต้องบอกว่าเป็นรองพวกเขาอยู่ทุกขุม ซึ่งญี่ปุ่นเองก็ต้องเล่นเหมือนทีมไม่มีอะไรจะเสียเพราะกว่าจะเข้ารอบมาได้ก็ต้องอาศัยการตัดสินหาทีมเข้ารอบด้วยกฏแฟร์เพล แต่แล้วกลับเล่นดีอย่างหน้าตาเฉย แถมได้ประตูขึ้นนำก่อนด้วยถึง 2-0 ในเวลาครึ่งหลังแล้วด้วย แต่ก็ต้องยกเครดิต ให้กับ โรแบร์โต้ มาติเนส อย่างแท้จริงกับการแก้เกมที่คิดเร็วทำเร็วเปลี่ยนเอา กองกลางร่างโย่งอย่าง มารูยาน เฟลไล่นี่ และ นาดเซอร์ ชาดลี และเปลี่ยนรูปแบบการเข้าทำที่เน้นบอลยาวมากกว่าเข้าเล่นงานญี่ปุ่นทีมที่เฉลี่ยตัวผู้ค่อนข้างไม่สูงมากนัก และแล้วก็สัมฤทธิ์ผลจนได้ เมื่อพวกเขาสามารถยิงคืน 2 ประตู โดยมาจากลูกโหม่งทั้ง 2 ลูก ทำให้เกมกับมาสูสีกันอีกครั้งเพราะทั้ง 2 ทีมไม่ยากยื้อไปจนต่อเวลาพิเศษ จึงทำให้ช่วงท้ายเกมเป็นการเปิดเกมแลกกันอย่างสนุก และแล้วก็เป็นเบลเยี่ยมที่สามารถฉุยโอกาสเล่นเร็วช่วงทดเวลาบาดเจ็บในขณะที่ผู้เล่นญี่ปุ่น ขึ้นมากันเกือบทั้งทีมจากจังหวะเตะมุมก่อนหน้านี้ ทำประตูเฉื่อนชนะไปได้จนในที่สุด ทำสถิติเป็นทีมแรกในรอบ 48 ปี ที่ตามหลัง 0-2 แล้วสามารถกลับมาเอาชนะได้
ผ่านญี่ปุ่นมาได้พวกเขาก็ต้องเจอศึกหนักอีก คราวนี้ต้องบอกว่าเจอของจริงอย่างบราซิลสำหรับรอบ 8 ทีมเพราะที่ผ่านมาพวกเขาเจอทีมที่ยังไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก แต่บราซิลนั้นไม่ใช่เลย ซึ่งสำหรับทัพแซมบ้าถูกยกให้เป็นทีมเต็ง 1 จากรอบ 8 ทีมนี้และเกมนี้ก็เป็นไปตามคาดถูกบราซิลบุกหนักตลอดทั้งเกม แต่ถือว่าเกมรับยังทำหน้าที่กันได้ดี และเกมรุกก็ถือว่าดีเกินคาดเพราะสามารถทำได้ถึง 2 ประตูกุมความได้เปรียบมาก่อน จนทำให้บราซิลไม่มีทางเลือกต้องบุกหนักสถานเดียวเพื่อเอาประตูคืนให้ได้ จนสามารถตีไข่แตกไล่มาได้ 1 ประตู แต่จนแล้วจนรอดด้วยความที่ มาติเนซ เองขึ้นชื่อในการเล่นเกมรับได้แบบเขี้ยวลากดิน ทำให้สามารถต้านทานเกมบุกของบราซิลได้ จนทำให้พวกเขาสามารถผ่านเข้ารอบไปได้
สำหรับรอบตัดเชือก ต้องบอกว่าเจอตอของแข็งอีกรอบ ด้วยการต้องโคจรมาเจอกับฝรั่งเศษ ทีมที่สามารถปราบ อาร์เจนติน่า และ อุรุกวัย 2 ทีมแกร่งตัวแทนจากทวีปอเมริกาใต้มาได้ ทำให้เกมนี้เป็นการวัดว่าถ้าพวกเขาหวังที่จะคว้าแชมป์ พวกเขาก็ต้องผ่านไปให้ได้ เกมนี้ช่วงแรกเป็นเกมที่ค่อนข้างจะสูสีมากผลัดกันบุกผลัดกันรับอย่างสนุกจนจบครึ่งแรกไปแบบไม่มีประตู เริ่มเกมครึ่งหลังก็ดูจะสูสีอยู่แต่ผ่านไปประมาณ 11 นาที กลับเป็นฝรั่งเศษที่ฉุยโอกาสจากลูกเตะมุมทำประตูออกนำไปก่อน ทำให้เวลาที่เหลือเบลเยี่ยมไม่มีทางเลือกต้องเปิดตำราบุกแหลกเพื่อที่จะทวงประตูคืนมาให้ได้ แต่ที่สุดแล้ว เมื่อครบ 90 นาที และเสียงนกหวีดเป่าจบเกมดังขึ้น ทำให้พวกเขาหมดโอกาสที่จะเข้าไปชิงอย่างเป็นทางการ ทำให้ต้องไปชิงที่ 3 แทน โดยต้องไปเจอกับทีมชาติอังกฤษ ที่เคยอยู่ร่วมสายเดียวกันในรอบแรก แล้วพวกเขาก็สามารถคว้าที่ 3 มาปลอบใจคนทั้งประเทศจนได้ทำให้จบเส้นทางในฟุตบอลโลกหนนี้ไปในอันดับ 3 เป็นการคว้าอันดับที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติได้อีกด้วย
กว้าต่อไปของพวกเขาคงต้องมุ่งไปในอีก 2 ปีข้างหน้า ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป และในฟุตบอลโลกในอีก 4 ปีข้างหน้า ผู้เล่นที่เป็นตัวหลักในปีนี้บางคนก็คงต้องโบกมือลาทีมชาติไปด้วยอายุอานามที่มาก อาทิเช่น ตัวเก๋าอย่าง แว็งซ้อง กอมปานี, แยน แฟร์ตองเก้น, โทมัส แฟร์มาเลิน อาจจะยังทันฟุตบอลยุโรปถ้ายังรักษาสภาพร่างกายได้อยู่ แต่คงจะไม่ไหวสำหรับฟุตบอลโลกอีก 4 ปีข้างหน้าที่ประเทศการ์ต้า แต่ยังอุ่นใจได้ที่น่าจะยังสามารถใช้งานตัวหลักจากปีนี้ได้อีกหลายคน เช่น เอแดน อาซาร์, เควิน เดอ บรุย, โรเมลู ลูกากู บวกกับรายอื่นๆ และที่สำคัญคือคลื่นลูกใหม่ที่แฟนบอลจะต้องจับตาและสมาคมของพวกเขาเองจะต้องส่งเสริมและให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่ให้สามารถขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ทีมชาติให้ได้เพื่อที่จะทำให้ไม่เกิดช่องว่างของยุคสมัยเหมือนที่หลายๆ ประเทศเคยประสบมา เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่นอนสำหรับวงการฟุตบอล
อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ เทรนเนอร์ ของพวกเขาอย่าง โรแบร์โต้ มาติเนซ ที่ต้องยกเครดิตให้เขาเต็มๆ สำหรับฟุตบอลโลกหนนี้และที่ต้องติดตามกันต่อว่าเทรนเนอร์ผู้นี้จะยังสามารถทำหน้าที่คุมทัพอยู่หรือไม่ ? หรือ นานอีกแค่ไหน ? เพราะตอนที่มารับตำแหน่งใหม่ๆ ต้องบอกว่าเป็นที่ตั้งคำถามจากหลายๆ ฝ่ายว่าเขาเหมาะสมแล้วหรือ แต่แล้วเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขานั้นเหมาะสมเเละลงตัวที่สุด ด้วยสถิติการคุมทีมทั้งหมด 27 นัด ชนะ 20 เสมอ 5 แพ้ 2 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ชนะสูงถึง 74.1 % อย่างน้อยๆ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจาการรายงานข่าวการต่อสัญญาของเจ้าตัวกับเบลเยี่ยมก่อนหน้านี้ออกไปอีก 2 ปีนั้นคงจะทำให้เราได้เห็นเขาทำหน้าที่คุมทีมข้างสนามในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปอย่างแน่นอน
สำหรับความฝันสูงสุดของแฟนบอลทีมชาติเบลเยี่ยมทั้งแฟนแท้ (คนในชาติเอง) และแฟนเทียม (คนทั้วโลกที่แอบเชียร์เบลเยี่ยม) คงไม่มีอะไรที่จะทำให้มีความสุขที่สุดได้เท่ากับการคว้าแชมป์ในทุกรายการที่เบลเยี่ยมลงทำการแข่งขัน ซึ่งฟังดูก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างน้อยๆ ถ้าพวกเขาสามารถลงเล่นในแต่ล่ะเกมด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท ถึงแม้จะไม่สามารถไปถึงฝันสูงสุดแต่ก็สามารถเอาชนะใจแฟนบอลทั่วโลกได้อย่างที่ได้ทำให้เห็นในฟุตบอลโลกหนนี้ เท่านี้ก็คงจะทำให้แฟนบอลชื่นใจและติดตามเชียร์พวกเขาตลอดไป